ในยุคปัจจุบัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่มองว่านักคิดและนักเขียนเป็นผู้ที่ไม่เคยประสบความสำเร็จจริง ไม่เคยลงมือปฏิบัติ แล้วจะมาบอกหรือสอนให้คนอื่นทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร
เพื่อนของผมซึ่งเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ก็เคยรู้สึกน้อยใจเมื่อลูกศิษย์บางคนคิดเช่นนี้กับเขา
เมื่อย้อนกลับไปในวัยเรียน ครูสอนคณิตศาสตร์ของเราไม่ใช่ปีทาโกรัส ยูคลิด หรือออยเลอร์
ครูสอนวิทยาศาสตร์ก็ไม่ใช่ไอน์สไตน์ ไอแซก นิวตัน หรือไมเคิล ฟาราเดย์
ตอนเราเรียนปริญญาโทด้านการตลาด เราก็อาจจะไม่ได้เรียนกับฟิลิป คอตเลอร์
แม้แต่ไมเคิล อี. พอร์เตอร์ หนึ่งในบิดาแห่งวิชากลยุทธ์สมัยใหม่ ผู้สร้างกลยุทธ์ Competitive Strategy และเครื่องมือวิเคราะห์ Five Forces Analysis ที่ธุรกิจทั่วโลกนำไปใช้
บริษัทที่ปรึกษาของเขา Monitor Group ยังเคยประสบปัญหาทางการเงินและต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย
พวกเขาเหล่านี้ไม่เก่งจริงหรืออย่างไร?
หรือการที่คนไม่เคยลงมือทำหรือไม่มีประสบการณ์ตรง ไม่สามารถให้คำแนะนำหรือสั่งสอนคนอื่นได้จริงหรือ?
ย้อนยุคกลับไปสู่สามก๊ก
“สุมาเต๊กโช” ยอดนักปราชญ์อันดับหนึ่งของแผ่นดิน เป็นอาจารย์ของทั้ง ขงเบ้ง บังทอง และ ชีซี สามนักปราชญ์แห่งยุคสามก๊ก
สุมาเต๊กโชเป็นนักปราชญ์ผู้เร้นกาย ไม่ทำงานกับใคร ไม่เคยปกครองบ้านเมือง ไม่เคยรับราชการหรือออกรบในสนามจริง
แต่ลูกศิษย์ของเขากลับเป็นยอดนักวางแผนการรบที่ยกทัพไปที่ไหน ฝ่ายตรงข้ามล้วนยำเกรง
"ลกซุน" ตัวละครระดับรองในสามก๊ก ที่มักจะไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนัก เมื่อเทียบกับดาวเด่นของง่อก๊กอย่าง จิวยี่ และโลซก
แต่เพราะลกซุนคนนี้แหละ ที่แทบดับฝันเล่าปี่และขงเบ้งในการรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง
การวางกลยุทธ์ปราบผู้ชนะสิบทิศอย่างกวนอู จนถึงกับสิ้นชีวิต
ตามมาด้วยการนำทัพง่อก๊ก ปราบทัพหลวงของเล่าปี่ ที่หมายมั่นว่าจะมาล้างแค้นแทนกวนอูน้องชาย แต่สุดท้ายก็ต้องขึ้นสวรรค์ตามกันไป
ศึกสองครั้งนี้ ทำให้กำลังพลของจ๊กก๊กอ่อนแอลงอย่างมาก ไม่สามารถเคลื่อนทัพไปบุกตีแคว้นวุยได้อย่างที่ต้องการ ขงเบ้งต้องทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ อีกหลายปี ในการฟื้นฟูกองทัพให้กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง
"อายุน้อย อ่อนประสบการณ์" เป็นคำปรามาส จากเหล่าที่ปรึกษาง่อก๊ก บอกเอาไว้
แต่ด้วยความสามารถ และสติปัญญา ลกซุนสามารถไต่เต้าจากนายอำเภอกิ๊กก๊อก บริหารเมืองบ้านนอกสุดๆของกังตั๋ง
มารับบทบาทแม่ทัพที่แม้จะถูกหลายคนสบประมาท แต่ก็พิสูจน์ตัวเองด้วยผลงาน
จนกลายเป็น "เสนาธิการ" ตัวหลักที่ค้ำบัลลังก์ซุนกวนมากว่า 30 ปี
เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ไม่ควรประมาท ไม่ควรดูถูกใคร แม้เค้าคนนั้นจะเด็กกว่า ดูด้อยประสบการณ์กว่าเรา
ในวงการฟุตบอล
- โชเซ่ มูรินโญ่ หนึ่งในผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก ตลอดอาชีพการเป็นโค้ช เขาคว้าถ้วยรางวัลรวม 26 ถ้วย รวมถึงแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 สมัย และแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัย
แต่เมื่อครั้งยังเป็นนักฟุตบอลเพียงแค่ปีเดียวกับทีมท้องถิ่นไร้ชื่อเสียง และเลิกเล่นตั้งแต่อายุ 24 ปี โดยไม่ได้สร้างชื่อเสียงในฐานะนักเตะ
- เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้คุมทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอย่างยาวนานถึง 26 ปี คว้าถ้วยรางวัลรวม 38 ถ้วย รวมถึงแชมป์พรีเมียร์ลีก 13 สมัย และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 สมัย
แต่ในฐานะนักฟุตบอล เขาเป็นกองหน้าระดับกลาง ๆ และไม่เคยติดทีมชาติสกอตแลนด์ในรายการแข่งขันใหญ่เลย นอกจากเตะกระชับมิตร
- อาร์ริโก้ ซาคคี่ ยอดกุนซือทีมชาติอิตาลี ผู้พาทีมเอซี มิลานที่ในยุคนั้น ถือเป็นทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก คว้าแชมป์ยูโรเปียนคัพ 2 สมัยติดต่อกัน เคยกล่าวไว้ว่า
"ผมไม่เคยรู้ว่าคนจะเป็นจ็อกกี้ต้องเคยเป็นม้ามาก่อน"
ในทางกลับกัน นักฟุตบอลซูเปอร์สตาร์หลายคนเมื่อผันตัวมาเป็นผู้จัดการทีมกลับไม่ประสบความสำเร็จ เช่น
- เวย์น รูนีย์, สตีเวน เจอร์ราร์ด, แฟรงก์ แลมพาร์ด, และ อลัน เชียเรอร์ แม้พวกเขาเคยเป็นนักเตะระดับโลก ประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ
แต่เมื่อมาคุมทีมในฐานะผู้จัดการ กลับมีผลงานที่ไม่น่าประทับใจ บางคนพาทีมตกชั้นหรือถูกปลดออกจากตำแหน่ง
ประสบการณ์อาจไม่ใช่ทุกสิ่ง
ความสำเร็จในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าจะประสบความสำเร็จในอนาคต
และการไม่มีประสบการณ์ตรงไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถสอนหรือแนะนำผู้อื่นได้
เพราะคนเราสามารถพัฒนาและเติบโตได้ตลอดเวลา
การตัดสินว่าใครเก่งหรือไม่เก่ง ไม่สามารถบอกได้ในระยะสั้น ต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ ดังคำกล่าวที่ว่า
"ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน"
การให้เกียรติและเคารพผู้อื่น
การกดคนอื่นให้ต่ำ ไม่ได้ช่วยทำให้ตัวเองสูงขึ้น เราไม่ควรดูถูกหรือลดคุณค่าของผู้อื่นเพราะพวกเขาขาดประสบการณ์หรือไม่เคยลงมือทำ
บารมีสะสมได้ด้วยการให้ ไม่ใช่การดูถูกเหยียดหยาม
เราควรให้โอกาสและเคารพผู้อื่น แม้พวกเขาอาจจะยังไม่มีประสบการณ์มากนัก